การวิเคราะห์วรรณคดีไทย
เรื่อง...ขุนช้าง
ขุนแผน
จุดจบ...ของนางวันทอง
นางวันทองเป็นตัวละครตัวเอกในบทเสภาขุนช้างขุนแผน วรรณคดีเรื่องสำคัญของไทย ซึ่งกลายเป็นเรื่องราวเล่าขานสืบต่อมาว่า “นางวันทองสองใจ” และดูเหมือนจะเป็นสำนวนคำพังเพยที่เปรียบเทียบผู้หญิงที่มีสามี
๒ คน หรือหลายคนหรือหญิงที่มีจิตใจไม่มั่นคงต่อสามีตนเอง มีชู้หรือไม่ซื่อตรงต่อคู่ของตนว่ามีพฤติกรรมเหมือนนางวันทอง
นางวันทองมีชื่อเดิมคือ “นางพิมพิลาไลย” เป็นลูกสาวของพันศรโยธากับนางศรีประจันมีสามี คนแรกคือ
พลายแก้วซึ่งต่อมาได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระพันวษาให้เป็นขุนแผนหลังจากเสด็จศึกกับเชียงใหม่ ชีวิตของนางผูกพันจนต้องมีสามีอีกคนคือขุนช้าง ชีวิตของตัวละครทั้ง ๓
พัวพันกันอย่างชนิดแยกกันไม่ออกและเมื่อถึงตอนที่กวีได้แต่งไว้น่าสนใจมาก ตลอดจนเป็นช่วงตอนที่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๖ ได้ศึกษา คือ ตอนขุนช้างถวายฎีกาเป็นตอนที่ไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้แต่ง แต่ในตอนนี้ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกอย่างหลากหลายทั้งเศร้า เสียใจ สงสาร เสียดาย สังเวช หรือสะใจ เพราะนางวันทองถูกเจ้าชีวิต คือสมเด็จพระพันวษาทรงตัดสินให้ประหารชีวิต เป็นจุดสุดยอด
(climax) ของเรื่องแสดงถึงความสามารถของกวีที่เข้าถึงภาวะอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นโดยไม่เลือกว่าผู้นั้นจะอยู่ในวัยใด เพศใดหรือสถานภาพในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนตอน “ ขุนช้างถวายฎีกา” เป็นตอนที่โดดเด่นยิ่งตอนหนึ่ง เพราะนางวันทองซึ่งเป็นตัวละครตัวเอกของเรื่องต้องตกเป็นจำเลยของสังคมในยุคที่ผู้ชายคือช้างเท้าหน้า
ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าบทบาทและพฤติกรรมของตัวละครชายในตอนนี้คือสมเด็จพระพันวษา
ขุนช้าง ขุนแผน และพระไวยได้แสดงให้เห็นว่าสถานภาพของผู้ชายในสังคมไทยเหนือกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจนยิ่ง นางวันทองเป็นตัวอย่างของผู้หญิงในสังคมไทยในยุคนั้น นางถูกกำหนดบทบาทและพฤติกรรมจากบรรดาบุรุษเพศ ทั้งขุนช้าง ขุนแผน และพระไวยต่างก็ปรารถนาที่จะตักตวงความสุขจากนางวันทองโดยไม่เคยคำนึงว่านางจะรู้สึกอย่างไร พฤติกรรมของทั้งสามมักเกิดจากการใช้อารมณ์เหนือเหตุผล เริ่มตั้งแต่พระไวยซึ่งมียศถาบรรดาศักดิ์ มีภรรยางามสองคนและมีบิดาอยู่ด้วยแล้ว แต่ยังรู้สึกว่าชีวิตของตนไม่สมบูรณ์เพราะ พร้อมญาติขาดอยู่แต่มารดา จะเห็นว่าตั้งแต่เด็กพระไวยไม่เคยอยู่ร่วมพร้อมกันทั้งพ่อแม่ลูกเหมือนดังครอบครัวอื่น จึงต้องการจะเติมส่วนขาดเพื่อให้ชีวิตของตนสมบูรณ์ทำให้ตัดสินใจไปพานางวันทองมาจากบ้านขุนช้าง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องและทั้ง ๆ ที่นางไม่เต็มใจ แต่ที่ต้องไปด้วยเพราะพระไวยขู่นางว่า
แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที
จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี
ครั้นเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นจริง ๆ
พระไวยก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ส่วนขุนช้างนั้นเมื่อทราบว่านางวันทองถูกพาตัวไปก็โกรธแค้นนัก แทนที่จะคิดว่าเป็นความผิดของผู้ที่มาพานางไป กลับประณามนางโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า
สองหนสามหนก่นแต่หนี พลั้งทีลงไม่รอดนางยอดหญิง
คราวนั้นอ้ายขุนแผนมันแง้นชิง นี่คราวนี้หนีวิ่งไปตามใคร
ไม่คิดว่าจะเป็นเห็นว่าแก่ ยังสาระหลบลี้หนีไปไหน
เอาเถิดเป็นไรก็เป็นไป ไม่เอากลับมาได้มิใช่กู
และขุนช้างก็ทำตามที่คิดด้วยการถวายฎีกาเพื่อให้สมเด็จพระพันวษาตัดสินให้นางกลับมาอยู่กับตนโดยไม่คิดถึงใจนางเลย
ฝ่ายขุนแผนซึ่งมีทั้งนางลาวทองและนางแก้วกิริยาเคียงข้างอยู่แล้ว เมื่อทราบว่าพระไวยพานางวันทองมาก็เข้าไปหานางด้วยความเสน่หา หวังจะได้ร่วมรักโดยไม่ได้คิดถึงอารมณ์และความรู้สึกของนางเช่นกัน แต่นางก็ไม่สมยอมเมื่อเกิดเหตุขึ้นภายหลัง ขุนแผนก็มิอาจช่วยนางได้ ทั้งขุนช้าง ขุนแผนและ
พระไวยเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพันวษา ความเป็นตัวของตัวเองก็สิ้นไป ทั้งนี้เพราะความเกรงพระราชอาญาและค่านิยมแห่งความจงรักภักดีที่ข้าทหารพึงมีต่อพระเจ้าแผ่นดิน ดังนั้นเมื่อพระพันวษาโปรดให้นางวันทองตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่กับใคร ทั้งสามคนก็มิกล้าเปิดปากกราบบังคมทูลช่วยนางแต่อย่างใด ในที่สุดผลร้ายก็ตกอยู่ที่นางวันทองเพียงคนเดียว
สมเด็จพระพันวษาเป็นตัวละครที่มีบุคลิกภาพเด่นอย่างยิ่งในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยที่มีอารมณ์ร้อน แต่ก็มีพระทัยอ่อนและเปี่ยยมไปด้วยพระเมตตาต่อข้าแผ่นดิน เพราะพระปรานีเหมือน
ลูกในอุทร ด้วยพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ พระราชวินิจฉัยในเรื่องใดจึงถือได้ว่าเป็นที่สุดเสมอ ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงก็อยู่ที่พระองค์เท่านั้น อย่าง ไรก็ตามสมเด็จพระพันวษาเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจที่ต้องทรงรับรู้เกี่ยวกับ ความวุ่นวายของครอบครัวขุนช้างขุนแผนมาโดยตลอดไม่รู้จักสิ้นสุด ทั้ง ๆ ที่มีพระราชภารกิจและพราะราชกรณียกิจในการปกครองประเทศ นอกจากต้องทรงแก้ปัญหาระดับชาติแล้ว ยังต้องทรงลงมาแก้ปัญหาระดับครอบครัวของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอีกด้วย ทรงเปรียบเสมือนพ่อหรือผู้ใหญ่ในครอบครัว เวลาสมาชิกในครอบครัวมีเรื่องเดือดร้อนมาฟ้องร้องก็ต้องทรงรับเป็นพระราชธุระ ไต่สวนให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกคน ในตอนนี้ก็เช่นกันได้พระราชทานโอกาสแก่นางวันทองซึ่งเป็นคนกลางและเป้นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวงตัดสินใจ แต่นางก็ไม่อาจตัดสินใจได้ ทำให้สมเด็จพระพันวษากริ้วเพราะเข้าพระทัยว่านางเป็นหญิงมักมากในกามคุณ ถ้าอ่านแต่เพียงผิวเผินอาจเห็นว่าทรงใช้แต่พระอารมณ์ แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้ง
ลูกในอุทร ด้วยพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ พระราชวินิจฉัยในเรื่องใดจึงถือได้ว่าเป็นที่สุดเสมอ ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงก็อยู่ที่พระองค์เท่านั้น อย่าง ไรก็ตามสมเด็จพระพันวษาเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจที่ต้องทรงรับรู้เกี่ยวกับ ความวุ่นวายของครอบครัวขุนช้างขุนแผนมาโดยตลอดไม่รู้จักสิ้นสุด ทั้ง ๆ ที่มีพระราชภารกิจและพราะราชกรณียกิจในการปกครองประเทศ นอกจากต้องทรงแก้ปัญหาระดับชาติแล้ว ยังต้องทรงลงมาแก้ปัญหาระดับครอบครัวของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอีกด้วย ทรงเปรียบเสมือนพ่อหรือผู้ใหญ่ในครอบครัว เวลาสมาชิกในครอบครัวมีเรื่องเดือดร้อนมาฟ้องร้องก็ต้องทรงรับเป็นพระราชธุระ ไต่สวนให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกคน ในตอนนี้ก็เช่นกันได้พระราชทานโอกาสแก่นางวันทองซึ่งเป็นคนกลางและเป้นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวงตัดสินใจ แต่นางก็ไม่อาจตัดสินใจได้ ทำให้สมเด็จพระพันวษากริ้วเพราะเข้าพระทัยว่านางเป็นหญิงมักมากในกามคุณ ถ้าอ่านแต่เพียงผิวเผินอาจเห็นว่าทรงใช้แต่พระอารมณ์ แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้ง
แล้วตัวนางวันทองเองรวมทั้งเงื่อนไขทางค่านิยมของสังคมมีส่วนผลักดันให้สมเด็จพระพันวษาทรงตัดสินประหารชีวิตนาง
นางวันทองซึ่งมีบทบาทเด่นที่สุดในตอน “ขุนช้างถวายฎีกา” ได้สะท้อนให้เห็นถึงสถานภาพของผู้หญิงในยุคนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพลูก เมีย แม่ ข้าแผ่นดิน
ฯลฯ ก็ตาม นับตั้งแต่เกิดมาชีวิตนางถูกกำกับหรือ “วางบท” ให้แสดงมาโดยตลอด ยกเว้นตอนที่เลือกพลายแก้ว(ขุนช้าง)เป้นคู่เท่านั้น นอกจากนั้นนางถูกกำหนดให้ดำเนินชีวิตตามความปรารถนาของผู้อื่น แม้กระทั่งผู้เป็นลูกอย่างพระไวยก็ยังไม่เว้น และด้วยความที่นางแทบไม่เคยเลือกหรือตัดสินใจเรื่องอะไรเอง เมื่อถึงเวลาวิกฤติที่ต้องตัดสินใจเลือก นางจึงมิอาจทำได้ทั้ง
ๆ ที่เป็นคนมีสติปัญญาและมีเหตุมีผลเสมอมา
นอกจากนางวันทองแทบจะไม่เคยมีโอกาสตัดสินใจเลือกอะไรได้เองแล้วการที่ต้องตกอยู่ในภาวะคับขันคือตื่นเต้น ตระหนกและหวาดหวั่นเพราะอยู่เฉพาะพระพักตร์ รวมทั้งความขัดแย้งภายในใจของนางในขณะนั้นก็เป็นปัจจัยอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้นางวันทองยอมให้สมเด็จพระพันวษาเป็นผู้เลือกหรือตัดสินใจแทน โดยได้แต่กราบทูลเป็นกลาง ๆ ว่า
ความรักขุนแผนก็แสนรัก ด้วยร่วมยากมานักไม่เดียดฉันท์
สู้ลำบากบุกป่ามาด้วยกัน สารพันอดออมถนอมใจ
ขุนช้างแต่อยู่ด้วยกันมา คำหนักหาได้ว่าให้เคืองไม่
เงินทองกองไว้มิให้ใคร ข้าไทใช้สอยเหมือนของตัว
จมื่นไวยเล่าก็เลือดที่ในอก ก็หยิบยกรักเท่ากันกับผัว
ทูลพลางตัวนางเริ่มระรัว ความกลัวพระอาญาเป็นพ้นไป
คำกราบทูลของนางวันทอง เหมือนดินประสิวปลิวติดกับเปลวไฟ ทำให้สมเด็จพระพันวษา
กริ้วเป็นที่สุด ถึงกับมีพระบรมราชโองการให้ประหารนางเสียทั้งยังทรงปลอบชายผู้ก่อเหตุทั้งสามว่า
กริ้วเป็นที่สุด ถึงกับมีพระบรมราชโองการให้ประหารนางเสียทั้งยังทรงปลอบชายผู้ก่อเหตุทั้งสามว่า
......................................... อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา
กูเลี้ยงมึงถึงให้เป็นหัวหมื่น คนอื่นรู้ว่าแม่ขายหน้า
อ้ายขุนช้างขุนแผนทั้งสองรา กูจะหาเมียให้อย่าอาลัย
นี่คือบทบาทสุดท้ายของนางวันทองที่สมเด็จพระพันวษาทรงเป็นผู้กำหนด
การศึกษาวิเคราะห์ตัวละครข้างต้นนี้กระทำโดยสังเขปเท่านั้น ถ้าคิดให้ละเอียดลึกซึ้งก็จะเห็นว่าพฤติกรรมของตัวละครที่เกิดขึ้นเป็นไปตามภูมิหลังและเงื่อนไขส่วนตัวของแต่ละคน ทั้งพระไวย ขุนช้าง
ขุนแผน นางวันทอง
และสมเด็จพระพันวษาต่างก็เป็นมนุษย์ที่กอปรไปด้วยเลือดเนื้อ อารมณ์ และความรู้รู้สึกทุกคนต่างก็คิดว่าตนมีเหตุผลในการกระทำ นอกจากเหตุผลของปัจเจกบุคคลแล้วค่านิยม ความเชื่อของสังคมมีส่วนทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างไรได้ด้วย ซึ่งไม่ยุติธรรมนักสำหรับสิทธิความเสมอภาคของมนุษย์ นางวันทองในเรื่องนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นหญิงกาลกิณีอีแพศยา เพราะมีสามีสองคนแต่ในขณะเดียวกันขุนแผนและพระไวยสามารถมีภรรยาหลายคนได้โดยสังคมไม่รังเกียจ กลับนิยมยกย่องเพราะถือว่าเป็นเครื่องเสริมบารมีของบุรุษ แต่ค่านิยมก็คือความนิยมว่าดีมีคุณค่าของคนส่วนใหญ่ในสังคมแต่ละสมัย ซึ่งคนในสังคมนั้น ๆ ต้องยอมรับถ้าปรารถนาจะอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นวรรณคดีที่สะท้อนความเป็นไทยไว้มากมายหลายด้านนักเรียนจะได้เห็น
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความคิด ความเชื่อ และค่านิยมของคนไทยในสมัยอยุธยาและต้น
รัตนโกสินทร์ ในปัจจุบันบางอย่างก็เปลี่ยนไปบางอย่างก็ยังคงดำรงอยู่ ที่ ปฏิเสธมิได้คือความเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้ออารมณ์และความรู้สึกของบรรดา ตัวละครทั้งหลายในเรื่องนี้ยังคงพบเห็นได้อยู่เสมอไม่แปรเปลี่ยน
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความคิด ความเชื่อ และค่านิยมของคนไทยในสมัยอยุธยาและต้น
รัตนโกสินทร์ ในปัจจุบันบางอย่างก็เปลี่ยนไปบางอย่างก็ยังคงดำรงอยู่ ที่ ปฏิเสธมิได้คือความเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้ออารมณ์และความรู้สึกของบรรดา ตัวละครทั้งหลายในเรื่องนี้ยังคงพบเห็นได้อยู่เสมอไม่แปรเปลี่ยน
การที่ผู้อ่านผู้ฟังหรือผู้ชมการแสดงเรื่องขุนช้างขุนแผนมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวและตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง เพราะกวีมีกลวิธีการนำเสนอ และการใช้สำนวนโวหารที่มีชีวิตชีวาและมีสีสัน
จัดจ้าน จะเห็นว่ากวีเน้นย้ำที่ความคิดอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครตลอดเวลาที่เล่าเรื่อง ให้ตัวละครย้อนคิดไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตอยู่เสมอเพื่อเป็นเหตุผลของการกระทำในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้อ่านไม่ลืมเรื่องแล้วยังช่วยให้เข้าใจตัวละครด้วย
เช่น การที่พระไวยจะไปพานางวันทองมาจากขุนช้างเพราะความแค้นจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต หรือตอนที่นางวันทองไม่ยอมไปกับพระไวยเพราะคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่วุ่นวายระหว่างนาง ขุนช้าง และขุนแผน จึงขอให้พระไวยไปกราบทูลพระพันวษาให้ทรงช่วยเหลือแทนที่จะกระทำไปโดยพลการ เป็นต้น
การใช้ถ้อยคำและสำนวนโวหารในเรื่องขุนช้างขุนแผน
ง่าย งามและมีพลัง นอกจากจะสรางภาพของตัวละครได้ชัดเจนแล้ว ยังสามารถกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกของผู้อ่านให้คล้อยตามอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครได้ด้วย ทำให้เกิดรสวรรณคดีที่หลากหลาย เช่น ตอนที่ขุนช้างฟื้นตื่นขึ้นมาไม่มีผ้าติดกายข้าไทที่เป็นหญิงในบ้านเห็นเข้าก็ตกใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น