บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

‘ฟ้าบ่กั้น’ เรื่องสั้นสะท้อนสังคม บทวิจารณ์โดย นางสาววิมลมาศ พรมกุล

ฟ้าบ่กั้นเรื่องสั้นสะท้อนสังคม
บทวิจารณ์โดย นางสาววิมลมาศ  พรมกุล


บทคัดย่อ
ลาว คำหอม เคยกล่าวอย่างเจียมตนเกี่ยวกับหนังสือรวมเรื่องสั้น “ฟ้าบ่กั้น” ของเขาไว้ใน คำนำผู้เขียนฉบับภาษาสวีเดนว่า ถ้าจะได้มีการพยายามจะจัดเข้าในหมวดหมู่วรรณกรรม หนังสือเล็กๆ เล่มนี้ก็คงจะมีฐานะเป็นได้เพียง วรรณกรรมแห่งฤดูกาลฤดูแห่งความยากไร้และคับแค้น ซึ่งเป็นฤดูที่ยาวนานมากของประเทศไทยดูเหมือนว่าฤดูกาลที่ลาว คำหอม พูดไว้น่าจะยาวนานมากเป็นพิเศษ เพราะจวบจนถึงวันนี้แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาครบห้าสิบเอ็ดปีนับแต่หนังสือเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 2501 แต่เรื่องราวใน “ฟ้าบ่กั้น” ยังแลดูเสมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ฟ้าบ่กั้นหนังสือเล็กๆ เล่มนี้ก็คงจะมีฐานะเป็นได้เพียง วรรณกรรมแห่งฤดูกาลฤดูแห่งความยากไร้และคับแค้น ซึ่งเป็นฤดูที่ยาวนานมากของประเทศไทย ลาว คำหอม เคยบอกเอาไว้อย่างนั้น และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เนื้อเรื่องย่อฟ้าบ่กั้น
ฟ้าบ่กั้นเป็นหนังสือที่รวมเรื่องสั้นของ ลาว คำหอม ประกอบไปด้วย ๑๗ เรื่องสั้น คือ คนพันธุ์, นักการเมือง, เขียดขาคำ, คนหมู, หมอเถื่อน, ชาวไร่เบี้ย, ชาวนาและนายห้าง, ไพร่ฟ้า, กระดาษไฟ, ฟ้าโปรด, สวรรยา, อุบัติโหด, แขมคำ, ป้าย, ยมทูต, เป-โต, และอีกนานเธอจะรู้
เรื่องที่มีลักษณะของเรื่องสั้นที่ดีมากเรื่องหนึ่งของเขาคือ "เขียดขาคำ" คือ ดีทั้งโครงเรื่อง, สำนวน, เนื้อหา ถึงแม้จะเป็นการเย้ยหยันธรรมชาติ เย้ยหยันรัฐบาล อย่างขมขื่น โดยไม่ได้เสนอทางออกหรือความหวังอะไร แต่ก็ได้ให้ภาพพจน์ที่สะเทือนใจ พอที่เราคิดกันต่อไปได้ว่าสภาพเช่นนี้เป็นสภาพที่น่าสังเวช ควรเปลี่ยนแปลงแก้ไขอย่างไม่ต้องสงสัย
เรื่องสั้นส่วนใหญ่ของ "ลาว คำหอม" แม้จะพูดถึงคนยากจนอย่างเห็นใจ แต่ก็ไม่ได้เขียน โดยใช้ท่วงทำนองแบบวรรณกรรมเพื่อชีวิตที่มุ่งชี้ทางออก หากมีลักษณะเป็นการเย้ยหยันธรรมชาติ เย้ยหยันวัฒนธรรมที่ล้าหลัง และเย้ยหยันชนชั้นปกครองเสียมากกว่าเช่น เรื่อง "คนพันธุ์" ซึ่งเย้ยหยันการเห่อฝรั่ง "คนหมู" เย้ยหยันนักพัฒนาจากเมือง "นักการเมือง" เย้ยหยันผู้แทน เป็นต้น
มีบางเรื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นการกดขี่ของนายทุน เช่น "ชาวไร่เบี้ย" แต่ก็ไม่ได้เสนอหรือแนะทางออก เรื่อง "ไพร่ฟ้า" จะมีแนวคิดก้าวหน้ามากกว่าเพื่อน ตรงที่ผู้ถูกกดขี่ได้ต่อสู้กับคนชั้นสูง แย่งคู่รักของเขาไปอย่างถึงเลือดถึงเนื้อ แม้ว่าจะจบค่อนข้างเศร้า ตรงที่ผู้ถูกกดขี่ต้องพลอยเสียชีวิตไปด้วย
บางเรื่องจะคล้ายกับเป็นเรื่องอ่านสนุกๆ เช่น "หมอเถื่อน" แต่ก็ชี้ให้เห็นสภาพทุกข์ยากของประชาชนในชนบท ได้มากกว่านักเขียนเรื่องชนบทบางคน
วรรณกรรมเรื่อง ฟ้าบ่กัน ซึ่งเป็นงานวรรณกรรมที่ได้สะท้อนวิถีชีวิตของสังคมชนบทจากที่ ลาว คำหอม ได้ไปสัมผัสมาด้วยตนเอง แล้วกลั่นกรองเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของเขา นำมาถ่ายทอดถึงความทุกข์ยากของสังคมชนบทไทยผ่านงานเขียนที่มีการสร้างฉาก ตัวละคร สถานที่ เวลา ที่แตกต่าง ที่อิงกับเหตุการณ์ความเป็นจริงของสังคมชนบท
 เรื่องราวต่างๆ ที่ถูกนำเสนอในหนังสือเล่มนี้ได้เกิดขึ้นต่างวาระแห่งฤดูกาลกัน แต่อย่างไรก็ตามเนื้อหาสาระและภาพที่สะท้อนออกมาในแต่ละเรื่องล้วนเป็นการแสดงถึงความทุกข์ยากของสังคมชนบท ที่มีทั้งความรัก ความเศร้าโศก พลัดพราก โกรธแค้น ดีใจ เสียใจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรสความงามของวรรณกรรม
ฟ้าบ่กั้นเป็นมากกว่าเรื่องสั้น
"ความหมายของหนังสือเล่มนี้ทำให้นึกต่อไปว่ามันบอกอะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้รู้สึกเข้าใจคนยากคนจนในภาคอีสาน ทำให้รู้สึกเห็นใจ คนในยุคสมัยนั้นก็น่า จะอ่านด้วยความรู้สึกแบบนั้น รู้สึกว่ามันเป็นคำร้องทุกข์ของคนยากจนในภาคอีสาน ฟ้าบ่กั้นไม่ได้บอกแค่ทำให้รู้สึกเห็นใจ แต่ทำให้เกิด ความคิดความรู้สึก วัฒนธรรมของตัวละครในเรื่อง ซึ่งกำลังต่อสู้ขัดขืนกับอำนาจที่มาจากส่วนกลาง และทำให้คิดว่า นี่แหละคือสิ่งที่หนังสือเล่มนี้มีลักษณะพิเศษในสายตาหลายคน คือมันไม่ได้มีไว้ให้เราอ่านอย่างเดียว แต่มันกำลังอ่านสังคม และกำลังอ่านคนที่อ่านมันด้วย (ชูศักดิ์  ภัทรกุลวณิชย์, 2555:21)
ฟ้าบ่กั้น วิจารณ์แนวสังคม
ใน ฟ้าบ่กั้นเสียดสีระบบราชการและนโยบายภาครัฐที่บอกว่า "มีลูกมากจะยากจน" เรื่อง  "เขียดขาคำ" เมื่อชาวนากลุ่มหนึ่งไปขอรับเงินสงเคราะห์ผู้มีลูกมากจากทางการ  พวกชาวนาได้กลายเป็นตัวตลกของพวก "เจ้านาย" เพราะต้องถูกเสียดสีจากการตอบคำถามว่าทำไมจึงมีลูกมาก แต่คำตอบที่ว่า "มันจน มันจน ไม่มีเงินจะไปซื้อผ้าห่ม ถึงจะเหม็นสาบเหม็นคาวทั้งปีทั้งชาติ ก็ได้ใช้เมียนั้นแล้วต่างผ้าห่ม ลูกมันก็หลั่งไหลมา"
มันเสียดสีและประชดรัฐบาลขณะนั้นได้ยอดมาก ความจนนั้นแหละสาเหตุใหญ่ ไม่ใช่พวกเขาโง่หรือไม่มีความคิด
 แต่การไปโรงเรียนก็ทำให้คนแปลกแยกจากสังคมเดิม จากบ้านเกิด ซึ่งสะท้อนอย่างเจ็บแสบในเรื่อง "ชาวนาและนายห้าง" เรื่องราวที่ชานกรุงเทพฯ ที่ลุงคงกับภรรยาเป็นผู้เช่านา เมื่ออายุมากเข้าไม่สามารถทำนาได้ก็กลายเป็นคนเฝ้านาให้เจ้าของหรือนายทุน
สองตายายเฝ้านามีหมาหลายตัว ที่น่ารักและฉลาดกว่าเพื่อนชื่อ "สำริด"  วันหนึ่งมีนายห้างพาฝรั่งไปเที่ยวยิงนกแถวนั้นเกิดชอบเจ้าสำริด ไปมาหลายครั้งจนสนิทสนม อยู่มาวันหนึ่งเจ้าสำริดป่วย นายห้างกับฝรั่งก็พามันไปหาหมอในเมือง จากนั้นก็ยังไม่ส่งกลับ แต่กลับส่งเข้าโรงเรียนหมา
ลาว คำหอม ประชดประชันอย่างแสบๆ  เมื่อชายชราถามนายห้างว่า ส่งหมาของแกไปโรงเรียนเพื่อสอนให้มันเป็นอะไร  "สอนให้เป็นคนฉลาด" นายห้างตอบ "เขาสอนให้มันรู้หน้าที่ รู้จักเฝ้าบ้าน ช่วยเจ้าของถือตะกร้า จับขโมย เป็นอนามัย ไม่ทำสกปรก"
ชายชราพึมพำกับภรรยาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การไปโรงเรียนหมา "ทำให้หมาในกรุงมันทำอะไรได้สารพัด ราคาค่างวดก็ตกถึงเก้าชั่งสิบชั่ง แพงกว่าควายโตๆ ในท้องนาเสียอีก"
แต่การไปอยู่เมืองกรุง การไปโรงเรียนหมาทำให้เจ้าสำริดลืมบ้านเก่า เมื่อนายห้างเอามันมาส่ง มันไม่ยอมขึ้นจากเรือ  "ลืมรสน้ำข้าวแล้วสิ ท่าทาง..." ยายหลุดปากออกมา
ที่ร้ายไปกว่านั้น เจ้าสำริดไม่เคยกัดไก่ก็ไล่กัด ยายทนไม่ไหว คว้าไม้พายหวดลงกลางหลัง "หนอย เขาขุนสองสามมื้อโอ่จะเป็นนายห้าง เดี๋ยวแม่ซัดกะไม้พายหลังหัก"
"ตั้งแต่กลับจากกรุง เจ้าสำริดไม่ยอมกินข้าว ท่าทางจองหองเกะกะกับเพื่อน ไม่ไหวเลย"
"ก็เห็นบอกว่าส่งไปฝึกอบรมเข้าโรงร่ำโรงเรียน"
"นั่นน่ะซี ไม่รู้มันเสี้ยมสอนกันยังไง ทำให้ไอ้สำริดของฉันเสียหมาหมด" "มันจำเจ้าของไม่ได้"
และสุดท้ายมันก็แว้งกัดลุงคง ที่เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กจนโต  เหมือนกับที่เขา "โดนกัด" จากนายทุนเจ้าของนาที่ขายที่ให้โรงงานอุตสาหกรรม ทำให้สองตายายต้องย้ายออกไป โดยไม่มีใครบอกได้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน อ่านเรื่องเจ้าสำริดไปโรงเรียนจน "เสียหมา" แล้วคิดถึงการศึกษาไทย
เรื่องราวต่างๆ ในฟ้าบ่กั้นถูกร้อยเรียงขึ้นมาจากมโนสำนึกของความเป็นจริงที่วันนี้ไม่ได้ต่างจากวานนี้เท่าไรนัก เขาเขียนไว้แบบประชดประชันไม่เว้นแม้ในคำนำฉบับภาษาเดนิชว่า


"ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป ภาพเงารางๆ ของโครงร่างอันมีลักษณะเหมือนคนแขนขาลีบ หัวโตแถมสวมมงกุฎประดับเพชร ก็เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นตามลำดับ นับวันก็ยิ่งแจ่มชัดจนเกินกว่าใครผู้ใดจะค้นคิดสรรหาคำสวดบทกวีสรรเสริญ หรือพิธีกรรมโอ่อ่าขรึมขลังมากลบให้มิดชิด ภาพเช่นนั้นย่อมกระทบมโนธรรม ก่อให้เกิดปฏิกิริยาและวิพากษ์ตามมา และมีไม่น้อยที่เห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าเกลียด บาป และไม่เป็นธรรม" 

ฟ้าบ่กั้น กับอัตลักษณ์ถิ่นอีสาน และวาทกรรมการพัฒนาให้เป็นสมัยใหม่
ลาว คำหอม อยากบอกด้วยว่า ความโง่ความฉลาดของคนไม่จำเป็นต้องมาจากการไปเรียนหนังสือสูงๆ เท่านั้น แต่มาจากการเรียนรู้ชีวิต จากประสบการณ์ เหมือนพ่อถ่ายทอดการทำมาหากินให้ลูก บางครั้งก็เป็นบทเรียนราคาแพงอย่างใน "เขียดขาคำ" ที่พ่อพาลูกไปหาเขียดหน้าหนาวตามทุ่งนา ลูกถูกงูเห่ากัด
            ใน ฟ้าบ่กั้น การพัฒนาให้เป็นสมัยใหม่ที่รัฐหยิบยื่นให้ชาวบ้าน จะอิงวาทกรรมเรื่องความเจริญก้าวหน้ากว่า ความทันสมัยกว่า และความมีประสิทธิภาพสูงกว่า เช่น การเอาพ่อพันธุ์สัตว์เลี้ยงมาให้ชาวบ้าน ในเรื่อง คนพันธุ์ตามที่พ่อเฒ่าเล่าให้เมียฟังถึงคำอวดอ้างสรรพคุณของพ่อพันธุ์วัวจากอเมริกา ที่เขาได้ยินมาจากหลวง ว่า รัฐบาลเห็นว่าวัวของเรามันไม่ทันสมัย ใช้ไม่ได้ โตช้า ตัวเล็ก ไม่ทันกินทันใช้” (หน้า 70) จะพบว่าพ่อเฒ่า แม่เฒ่า ตื่นตาตื่นใจกันสรรพคุณของพ่อพันธุ์สัตว์ต่างๆที่รัฐบาลหยิบยื่นให้ แต่พวกเขาตีคุณค่าสรรพคุณคนละอย่าง เห็นจากความกังวลใจของแม่เฒ่าเมื่อนึกภาพความโกลาหลวุ่นวาย และความน่าอุจาดตาของแม่ไก่ตัวเท่าอีแร้งกระโดกกระเดกอยู่แทนที่ (หน้า 68) สำหรับเธอแล้ว ขนาดที่ใหญ่กว่าหรือโตเร็วกว่า คือ ความมากมายเกินที่จะพึงประสงค์
ในทำนองเดียวกัน เราพบว่าในเรื่อง คนหมูหมออาสาสมัครยึดหลักโภชนาการเป็นบรรทัดฐานของคุณภาพชีวิตของผู้ที่เจริญแล้ว ขณะที่โพธิ์ให้ความสำคัญกับคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อให้ท้องอิ่ม จริงอยู่ว่าท้ายที่สุดโพธิ์ต้องจำใจยอมกินรำต่างข้าว แต่อย่างน้อยเราเห็นว่าโพธิ์สำนึกอยู่ตลอดว่า เขาได้สูญเสียความเป็นคนของตนไป ผิดกับหมออาสาสมัครที่ไม่รู้สึกรู้สมแต่อย่างใด แม้ว่าโพธิ์จะทักท้วงคำแนะนำของเธอแล้วก็ตาม
ควบคู่ไปกับวาทกรรม ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ ความมีประสิทธิภาพรัฐและคนเมืองยังได้สร้างอัตลักษณ์คนชนบทอีสานว่า โง่เง่าเต่าตุ่นเพื่อกันคนจนออกไปจากกระบวนการตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับการพัฒนา ตัวละครที่เป็นตัวแทนของรัฐและคนเมืองใน ฟ้าบ่กั้น จึงมองเห็นชาวบ้านเป็นตัวตลก ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ประสีประสา ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามของตัวละครชาวบ้านที่จะตอบโต้และโต้กลับ เป็นต้นว่า ในเรื่องสั้น เขียดขาคำเมื่อนาคและเพื่อนชาวนาไปขอรับเงินสงเคราะห์ผู้มีลูกมากจากทางการ พวกชาวบ้านได้กลายเป็นตัวตลกที่ เรียกเสียงหัวร่ออย่างชอบใจจากหมู่เจ้านาย(หน้า 44-45) เพราะต้องงกๆ เงิ่นๆ ตอบคำถามว่าทำไมจึงมีลูกมาก แต่นาคได้สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนบนที่ทำการอำเภอ เมื่อเขาตอบว่า มันจน มันจน ไม่มีเงินจะไปซื้อผ้าห่ม ถึงจะเหม็นสาบเหม็นคาวทั้งปีทั้งชาติ ก็ได้ใช้เมียนั้นแล้วต่างผ้าห่ม ลูกมันก็หลั่งไหลมา (หน้า 45) ผลจากคำพูดที่เหนือความคาดหมายของนาคก็คือ แทนเสียงหัวเราะ ทุกคนเงียบงันไปครู่หนึ่ง” (หน้า 45)
คำพูดของนาคทำให้ทุกคนเงียบและอึ้งไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งนี้มิใช่เฉพาะนาคกลับตาลปัตรคำอธิบายของทางการที่ว่า มีลูกมากจะยากมากกลายเป็นว่า ยากจนจึงมีลูกมากคำพูดแรกของนาค มันจน มันจนอาจจะชวนให้คิดไปเช่นนั้น แต่เมื่อเขาขยายความ เราจึงพบว่าคำตอบของนาคนั้นใช้ชุดคำอธิบายที่ไม่อยู่ในสารบทความคิดใดๆ ที่พวกข้าราชการคุ้นเคย นาคไม่ได้พูดในสิ่งที่รัฐคาดหวังว่า ชาวนาผู้โง่เง่าเต่าตุ่นจะพูดกัน ในขณะเดียวกันเขามิได้ลอกเลียนหรือจดจำคำพูดของทางการ มาตอบเพื่ออวดฉลาดในกรอบที่คนเมืองเป็นคนขีดไว้ ทั้งยังมิใช่คำพูดที่จะลุกขึ้นมาประจานความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาลูกมากแต่อย่างใด ความเงียบในหมู่ข้าราชการหลังจากได้ยินคำพูดของนาค ในแง่หนึ่งแล้วเป็นความเงียบอันเกิดจากความอับจนที่จะโต้ตอบหรือรับมือกับคำพูดของนาค คำพูดของปลัดอำเภอที่จะทำให้คำตอบของนาคกลายเป็นเรื่องตลก เมื่อเขาพูดอย่าง ปร่าๆว่า บ๊ะ อ้ายหมอนี้เอาเมียทำผ้าห่ม” (หน้า 45) ไม่เพียงแต่จะเป็นความพยายามอันน่าสมเพชเวทนาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเหมือนศรที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงปลัดอำเภอ เพราะกลายเป็นว่าเขาต้องมารับบทเป็นตัวตลกเสียอีก
เราจะเห็นว่าในการตอบโต้อัตลักษณ์คนอีสานโง่เง่างมงาย นาคไม่ได้ใช้วิธีที่จะพิสูจน์ว่าตนเองฉลาดเท่าทันคนเมืองเพราะถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับนาคยอมรับเอานิยามของความฉลาดที่คนเมืองสร้างเป็นตัวตั้ง และยอมรับว่าระบบคุณค่าของคนเมืองเหนือกว่า เจริญกว่า และดีกว่าระบบคุณค่าของตัวเขา สิ่งที่นาคทำคือการเสนอชุดคำอธิบายของตัวเองขึ้นมาแข่ง ส่งผลให้ปลัดอำเภอไม่สามารถจะโต้ตอบนาคได้
นอกเหนือจากการนำเสนอระบบคุณค่าของตนเองเพื่อตอบโต้กับวาทกรรม โง่เง่า งมงายที่รัฐสร้างขึ้นแล้ว การช่วงชิงการนิยามเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ตัวละครใน ฟ้าบ่กั้น ใช้เพื่อรับมือกับวาทกรรมของคนเมือง ในเรื่อง นักกานเมืองเราจะเห็นว่าเขินอดีตสมภารวัดที่สมัครเป็นผู้แทนประชาชนแข่งขันกับบรรดาผู้มียศถาบรรดาศักดิ์จากกรุงเทพฯ ลุกขึ้นมานิยามผู้สมัครจากกรุงเทพฯใหม่ดังนี้
ข้าเคยไปบางกอก... ข้าจะบอกให้นะ ขุนคือคนพวกหนึ่งที่คอยเอาข้าวเอาน้ำให้เป็ด ไก่ ช้าง ม้า ข้ารู้เพราะข้าเคยไปบางกอก คมบางกอกเขาเรียกการให้ข้าวน้ำเก่สัตว์ของเขาว่าขุน ส่วนหลวงนั้นคือคนไม่มีทำเลเป็นหลักแหล่งแห่งที่ อย่างม้าหลวงที่บ้านเราเป็นม้าไม่มีเจ้าของ ใครจับไปขี่เสร็จแล้วปล่อยไป กินข้าวกินกล้าชาวบ้านจะเอาโทษกับใครไม่ได้ ส่วนคุณพระข้ายังสงสัย พระอะไรไม่รู้จักบวช บางทีจะเป็นพระทุศีล ... โน้นคนที่ชอบของเล่นนั่นเป็นนายพล ดูชิเอากาบหอยกาบปูมาห้อยอกไว้รุงรัง คนอย่างนี้เราเรียกว่าแก่ไม่รู้จักโต ชอบของเล่นเหมือนเด็ก ส่วนคนที่หลบไปเห็นหลังไวๆ นั้นเป็นหมอความ คือคนชอบหาความ ถ้าไม่มีเงินให้มันเอาเข้าคุก” (หน้า 11)
ในคำปราศรัยที่ยกมานี้ เขินใช้วิธีอ้างประสบการณ์ตรงที่เคยไปกรุงเทพฯ เพื่อยืนยันความจริงของสิ่งที่เขาพูด ส่วนการชิงนิยามคมเมืองเหล่านี้ใหม่นั้น เขินใช้การเล่นคำเพื่อทำให้สิ่งที่ถูกยกย่องว่าศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นสามานย์ ยศถาบรรดาศักดิ์ที่เป็นเครื่องแสดงความสูงส่งและน่าเกรงขามถูกพลิกกลับตาลปัตรให้เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระน่าชวนหัวทั้งสิ้น

บทสรุป : ฟ้าบ่อาจกั้น....ฟ้าบ่กั้น  ได้
           เรื่องราวเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียง "ความคิด" หรือจินตนาการ หากแต่เป็น "มโนธรรม" อันเกี่ยวข้องกับความถูกผิด ซึ่งวันนี้ถูกแทนด้วยคำว่า "จิตสำนึก" จะคำไหนก็ไม่ว่า ฟ้าบ่กั้น อยากกระตุ้นให้คนได้คิดแตกต่างไปจากเดิม คิดอย่างคนที่ "เจริญ" แล้ว ที่เคารพในศักดิ์ศรี และสิทธิของคน ดังนั้น ฟ้าบ่กั้น  คงเป็นตัวแทนของผู้คนในสังคมชนไทย ที่จะเป็นพื้นที่แสดงเรื่องต่างๆของสังคมชนบทไทยได้เป็นอย่างที่คงจะเป็นเหมือนชื่อเรื่องของหนังสือวรรณกรรมเล่มนี้ที่ไม่สามารถปิดกั้นความทุกข์ของสังคมชนบทไว้ได้ มันกลับถูกถ่ายทอดออกมาแล้วโดยผ่านงานเขียนของนักเขียนคุณภาพ อย่างลาว  คำหอม ผู้เป็นกระบอกเสียงให้กับสังคมชนบทได้เป็นอย่างดี (ธวัชชัย สุนทรสวัสดิ์, 2554. )
 ฟ้าบ่กั้น เป็นงานเขียนที่ตกผลึกทางความคิด ประสบการณ์ตรงของลาวคำหอม จนสมารถนำมาผลิตเป็นงานเขียนได้ งานเขียนลักษณะเช่นนี้ ปัญญาชนในทศวรรษ 2500 อย่าง จิตร ภูมิศักดิ์ เรียกว่า  ศิลปะเพื่อชีวิต  ศิลปะเพื่อประชาชน
          ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านหลายทศวรรษแล้วก็ตาม ฟ้าบ่กั้น ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อนักอ่านงานวรรณกรรม และผู้สนใจทั่วไปให้สัมผัสถึงรสความงดงามภาษาของวรรณกรรมเล่มนี้  ฟ้าบ่กั้นจะยังอยู่ในสำนึกของสังคมไทยและพร้อมที่จะเปิดเผยความทุกข์ให้สังคมได้รับทราบอีกต่อไป เมื่อคุณหยิบมันขึ้นมาอ่าน....ฟ้าบ่กั้น












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น